เจริญแล้วเสื่อมไม่ใช่ปัญหา เป็นสภาวะ
สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นก็ดับ
ดีเกิดได้ดีก็ดับ
ชั่วเกิดได้ ชั่วก็ดับเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นดีกับชั่วไม่ใช่สาระสำคัญ
เป็นแค่สภาวะที่เราไปรู้ไปเห็นเข้า
จุดที่สำคัญก็คือ จิตยินดีไหมยินร้ายไหม
ต่อสภาวะแต่ละอันนั้น
รู้ทันไปเรื่อยๆ จิตจะเป็นกลางโดยที่ไม่ได้บังคับ
พอจิตเป็นกลางแล้ว เราก็เห็นสภาวะทำงานต่อไป
จิตเป็นกลางแล้วจะเกิดความเข้าใจขึ้นมา
ถ้าจิตยังยินดียินร้าย จิตจะดิ้นรน จิตจะไม่สักว่ารู้ว่าเห็น
ถ้าจิตไม่ยินดียินร้ายแล้ว จิตจะสักว่ารู้ว่าเห็นสภาวะ
จะเข้าใจไตรลักษณ์ขึ้นมาได้
รักษาใจยามเจ็บไข้
สำหรับคนที่เจ็บป่วย ทำใจไว้อย่างหนึ่งว่าความเจ็บป่วยก็เป็นของชั่วคราว มันไม่มีใครหรอกเจ็บตลอดชาติ เจ็บตลอดเวลา ความเจ็บปวดมันก็อยู่ชั่วคราว มันมาแล้ว เดี๋ยวมันก็ไป เพียงแต่บางคน ถ้าร่างกายอ่อนแอมาก ความทุกข์ โรคภัยไข้เจ็บ มันไปพร้อมกับชีวิตเรา ยังไงเราก็ไม่แพ้มัน อย่างมากก็เสมอกัน
ไม่มีที่มันชนะเราหรอก อย่างมากก็เสมอกัน ถ้าอย่างเราเป็นมะเร็ง เราตาย เซลล์มะเร็งตายด้วย มันอยู่ไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นบอกกับมันดี ๆ ว่า “เอ็งน่ะ อย่าอาละวาดมากนัก” แผ่เมตตาให้มันบ้าง พอเราแผ่เมตตา ใจไม่เกลียดมัน ใจจะสบาย พอใจสบาย สมาธิเกิดขึ้นมา ใจมันร่มเย็นเป็นสุข มีความสุข มีกำลัง มีกำลังใจ เราไม่ต้องคิดอะไรมาก เวลาเราผ่านการรักษาที่ยาวนาน บางคนบอก “โอ้โห อาจารย์จะต้องให้คีโม ๖ ครั้ง ๘ ครั้ง อะไรเนี่ย ฟังแล้วท้อแท้ใจ” อยู่เป็นวัน ๆ ไป มีชีวิตเป็นขณะ ๆ เป็นวัน ๆ ไป วันนี้ให้ทำอะไรก็ทำไป อย่าไปคิดว่าเหลืออีกกี่วัน เหลือต้องให้ยาอีกกี่รอบ คิดมากก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร มีชีวิตอยู่กับปัจจุบันไปทีละวัน ๆ แป๊บเดียวเอง