ฝึกให้จิตมีแรงแล้วเดินปัญญา

การฝึกจิตใจมันมี 2 ขั้นตอน ขั้นฝึกให้จิตสงบมีเรี่ยวมีแรง กับฝึกให้จิตตั้งมั่น ฝึกให้จิตสงบก็คือฝึกให้จิตมันรู้จักหยุดเสียบ้าง ธรรมดาจิตเราวิ่งพล่านๆ ทั้งวัน เดี๋ยววิ่งไปคิด เดี๋ยววิ่งไปดู วิ่งไปฟัง วิ่งไปดมกลิ่น วิ่งไปลิ้มรส วิ่งไปรู้สัมผัสทางร่างกาย จิตมันวิ่งตลอดเวลา มันก็เหนื่อย หมดเรี่ยวหมดแรง คล้ายๆ ร่างกาย วิ่งๆ ไปเรื่อยๆ ก็หมดแรง ก็ต้องพัก จิตก็ต้องพักเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราจะต้องหัดกรรมฐาน ที่เรียกว่าสมถกรรมฐาน พอพักพอสมควรมีเรี่ยวมีแรงแล้ว ก็ต้องออกไปทำมาหากิน

ถ้าร่างกายพักพอสมควรมีแรงแล้ว ออกไปทำมาหากิน หาผลประโยชน์ จิตใจนี้ก็เหมือนกัน เราพักพอสมควรแล้ว ออกไปทำประโยชน์ ออกไปเจริญปัญญา นั่นล่ะหาของดีมาให้จิตใจ ปัญญามันเป็นอาหารชั้นเลิศของใจ

ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นเรื่องใหญ่

เราชาวพุทธ ขั้นต่ำสุดต้องรักษาศีลให้ได้ เอะอะจะเจริญปัญญา แต่ศีลไม่มีสมาธิมันก็ไม่มี สมาธิไม่มีปัญญามันก็ไม่มี ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นเรื่องใหญ่ ต้องเรียน ต้องลงมือปฏิบัติจริงๆ ปฏิบัติอะไรบ้าง ปฏิบัติศีล ต้องตั้งใจรักษา แล้วก็ต้องปฏิบัติสมาธิ สมาธิมี 2 อย่าง สมาธิที่จิตสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว กับสมาธิที่จิตตั้งมั่นเห็นสภาวะทั้งหลายแสดงไตรลักษณ์ รูปธรรมก็แสดงไตรลักษณ์ นามธรรมก็แสดงไตรลักษณ์ ต้องเห็น อันนี้สมาธิชนิดตั้งมั่นจะทำให้เราเห็น สมาธิสงบก็ไม่มีการเห็นอะไร ก็นิ่งๆ อยู่เฉยๆ มันก็มี 2 อย่าง แต่ก็มีประโยชน์ทั้ง 2 อย่าง มีสมาธิชนิดตั้งมั่นแล้วเจริญปัญญารวดไปเลย จิตจะหมดแรง ถ้าจิตจะหมดกำลัง วิปัสสนูปกิเลสจะแทรก เพราะฉะนั้นเราจะต้องมีสมาธิชนิดสงบด้วย แบ่งเวลาไว้เลยทุกวันๆ ต้องทำในรูปแบบ จะนั่งสมาธิ จะเดินจงกรมอะไรก็ได้ ทำไปแล้วก็ให้จิตใจมันอยู่กับเนื้อกับตัวไว้ ถัดจากนั้นเราก็ทำกรรมฐานอย่างเดิมล่ะ แต่ไม่ได้มุ่งไปที่ความสงบ เรามุ่งไปที่จิต อย่างเราหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ จิตหนีไป เรารู้ทัน หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ จิตหนีไปเพ่งลมหายใจ เรารู้ทัน ตรงที่เรารู้ทันสภาวะ ที่จริงสภาวะอะไรก็ได้ สมาธิชนิดตั้งมั่นจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ แล้วต่อไปปัญญามันก็ตามมา มันจะเห็นจิตรู้ก็ไม่เที่ยง จิตที่ไหลไปทางตาก็ไม่เที่ยง จิตที่ไหลไปทางหูก็ไม่เที่ยง จิตที่ไหลไปทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจก็ไม่เที่ยงอะไรอย่างนี้ เห็น หรือจิตที่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้อยู่ก็เป็นอนัตตา ควบคุมไม่ได้ บังคับไม่ได้ จิตที่จะไปดูรูป ไปฟังเสียง ไปดมกลิ่น ลิ้มรส รู้สัมผัสทางกาย คิดนึกทางใจ ก็ห้ามไม่ได้ บังคับไม่ได้ นี่เห็นอนัตตา

พอจิตสงบ พุทโธจะหายไปจะเหลือแต่ลมหายใจแผ่วๆ เมื่อจิตสงบมากๆ หรือจิตหลงไปคิด จะถอนลมหายใจออกยาวๆ แล้วกลับมาตามลมหายใจ

ฝึกปฏิบัติโดยใช้หลักวิหารธรรมลมหายใจเข้า พุทออกโธครับ เคยส่งการบ้านเมื่อต้นปี 2562 พ่อแม่ครูอาจารย์ให้กลับมาทำสมาธิเพิ่มขึ้นอีก กระผมได้กลับมาปฏิบัติถึงปัจจุบันครับ พอนั่งจิตสงบ พุทโธจะหายไปจะเหลือแต่ลมหายใจแผ่วๆ เมื่อจิตสงบมากๆ หรือจิตหลงไปคิด กระผมจะถอนลมหายใจออกยาวๆ แล้วกลับมาตามลมหายใจ ขอคำแนะนำเพิ่มเติมครับ

 

หลวงพ่อ:

ภาวนาถูกแล้ว พอจิตเรามีกำลัง เราก็เอาจิตที่มีกำลังแล้ว มีสมาธิแล้วไปเดินปัญญา ระลึกลงในร่างกาย ตั้งแต่หัวถึงเท้า เท้าถึงหัว ไล่ขึ้นไล่ลง คอยดูไปเรื่อยๆ แต่ไม่ได้ดูแบบพรวดพราด ดูหัวทีเดียวถึงเท้าอะไรอย่างนี้ เร็วไป ค่อยๆ สังเกตไป ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก แต่ละส่วนๆ นี่ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา ค่อยๆ ดูไปเรื่อยๆ ส่วนจิตใจมันจะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอะไร มันจะเห็นเอง

สมาธิดี ทำต่อ สมาธิไม่ทิ้ง เดินไปด้วยการใช้สมาธิอย่างนี้ การปฏิบัติเราจะไม่แห้งแล้ง มันจะปฏิบัติไป มีความสุข มีความสงบไปตลอดสายของการปฏิบัติ มีจิตที่ทรงสมาธิอยู่ นี้พอจิตเราสงบตั้งมั่น ดีแล้ว พักผ่อนพอสมควรแล้ว ไม่เกียจคร้าน ออกมาดูร่างกายนี้ ทำไมหลวงพ่อไม่บอกไปดูจิต ถ้าจิตสงบแล้วมันไม่ค่อยมีอะไรให้ดู มันว่างๆ นิ่งๆ ไป ออกมาดูกาย แต่ถ้าจิตมันขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอะไร เราเห็น เราก็ดูจิตไปเลย แต่ถ้าจิตมันเฉยๆ มาดูที่กาย ร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเรา ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา คอยดูไปอย่างนี้เรื่อยๆ ไป ภาวนาเก่ง ภาวนาได้ดีเชียวล่ะ

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
25 กรกฎาคม 2564