ปัจจุบันสติในกายเป็นอัตโนมัติ ส่วนสติในจิตทันบ้างไม่ทันบ้าง เห็นชัดเมื่อทำในรูปแบบแล้วจิตตั้งมั่น ขอหลวงพ่อเมตตาแนะนำเพิ่มเติมต่อด้วยครับ

คำถาม:

หลวงพ่อเคยแก้จิตติดเพ่งให้ แนะนำให้ดูอิริยาบถ และสอนต่อว่าดูกายแล้วจะเห็นจิตเอง ปัจจุบันสติในกายเป็นอัตโนมัติมาก เห็นการขยับของกาย เพื่อบรรเทาทุกข์ของตัวมันเอง และทำงานของมันเอง ส่วนสติในจิตทันบ้างไม่ทันบ้าง เห็นชัดเมื่อทำในรูปแบบแล้วจิตตั้งมั่น ในชีวิตประจำวันเห็นจิตปรุงดีปรุงชั่วได้มากขึ้น เห็นสายเกิดแต่สายดับเห็นไม่ค่อยทัน ในรูปแบบเคยเห็นและพอเข้าใจแล้วว่า จิตปรุงกิเลสหรือกิเลสปรุงจิต ขอหลวงพ่อเมตตาแนะนำเพิ่มเติมต่อด้วยครับ

 

หลวงพ่อ:
เมื่อกี้แนะไปแล้วไปทำอีก ทำถูกแล้ว สมาธิดีแล้ว ที่เพ่งๆ อะไรไม่ได้เพ่งอย่างแต่ก่อนแล้ว พอสมาธิเราดีดูลงในกายเลย จะเห็นกายกับจิตแยกกันได้ชัดเจนแล้ว ส่วนเรารู้สึกอยู่ร่างกายเคลื่อนไหว จิตรู้สึกอะไรอย่างนี้ เวลามีความรู้สึกอะไรแปลกปลอมขึ้นในจิต ก็จะเห็นเอง มันจะเห็นขึ้นมาเอง แต่แรกๆ ก็ต้องอารมณ์ที่หยาบหน่อย ความรู้สึกที่แรงหน่อย พอเราชำนิชำนาญขึ้น แค่จิตมันไหวตัวนิดหนึ่งเราก็เห็นแล้ว ยังไม่ทันจะสุข จะทุกข์อะไรเลย แค่มันสะเทือนไหวขึ้นมาก็เห็นแล้ว ที่ทำอยู่ถูกแล้วไปทำต่อไป

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม 31 กรกฎาคม 2564

จิตก็มักจะติดการคิด จึงใช้วิธีจิตหลงไปคิดแล้วรู้ๆ ขอหลวงพ่อเมตตา แนะนำการปฏิบัติที่เหมาะสมด้วยค่ะ

คำถาม:

ปฏิบัติโดยใช้วิภัชวิธีตามที่หลวงพ่อสอน แต่จิตก็มักจะติดการคิด จึงใช้วิธีจิตหลงไปคิดแล้วรู้ๆ ขอหลวงพ่อเมตตา แนะนำการปฏิบัติที่เหมาะสมด้วยค่ะ

 

หลวงพ่อ:

สมาธิเรายังไม่มี เรายังเจริญปัญญาไมได้จริงหรอก การที่บอกวิภัชวิธี มันเป็นการคิดแยกเอา มันยังไม่ได้เห็นว่ามันแยกกัน ก็เพิ่มกำลังของสมาธิขึ้นเสียก่อน จิตเราฟุ้งซ่านรู้ว่าฟุ้งซ่าน หาเครื่องอยู่ให้จิตอยู่ จะอยู่กับลมหายใจ อยู่กับพุทโธอะไรก็เอา หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ สงบก็ช่างไม่สงบก็ช่าง ทำบ่อยๆ พอทำไป พอจิตมันมีกำลังมันจะเห็นเลย ร่างกายที่หายใจมันก็ส่วนหนึ่ง จิตที่เป็นคนรู้การหายใจก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง เวทนาในร่างกายเกิดขึ้นก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง เวทนาในใจก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง สุข ทุกข์ ดี ชั่ว กุศล อกุศล ก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง มันจะค่อยๆ แยก มันแยกด้วยการเห็น เพราะจิตมันเป็นคนเห็นแล้วมันจะเห็นขันธ์มันแยกออกไป มันแยกเอง ของโยมใจมันยังฟุ้งเยอะอยู่ ฉะนั้นเพิ่มกำลังของสมาธิก่อน ถ้าสมาธิไม่พอ ใจเราฟุ้งๆ มันเดินปัญญาไม่ได้จริง ฉะนั้นทำสมาธิหายใจเข้าพุท หายใจออกโธไป แล้วค่อยมาส่งการบ้านต่อ ตอนนี้เอาตรงนี้ให้ได้ก่อน

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม 31 กรกฎาคม 2564

ฝึกมา 3 ปีในชีวิตประจำวันก็ดูทั้งกายและใจ เพราะดูใจอย่างเดียวจะดูไม่ชัด ควรปฏิบัติอย่างไรเพื่อที่จะได้มีความก้าวหน้าต่อไป

คำถาม:

ปฏิบัติในรูปแบบคือนั่งสมาธิ เดินจงกรมเช้า – เย็น เวลานั่งสมาธิก็จะดูลมหายใจแล้วนับเลข พอถึงจำนวนครั้งที่กำหนด ก็จะเปลี่ยนเป็นพิจารณาเล็บ เวลาเดินจงกรมก็นับรอบที่เดิน สลับกับพิจารณาเล็บเช่นกัน จะมีบ่อยๆ ที่เผลอไปคิดเรื่องอื่นแต่สั้นๆ พอหยุดคิดก็ดูใจ การนับลมหายใจหรือการพิจารณาเล็บยังทำอยู่ต่อเนื่อง ไม่ได้หยุดไปตอนที่เผลอคิด ทำแบบนี้มา 3 ปี ในชีวิตประจำวันก็ดูทั้งกายและใจ เพราะดูใจอย่างเดียวจะดูไม่ชัด ควรปฏิบัติอย่างไรเพื่อที่จะได้มีความก้าวหน้าต่อไปคะ

 

หลวงพ่อ:

ปฏิบัติอย่างนี้ล่ะ ที่ทำอยู่นี้ก็ก้าวหน้าแล้ว มันก็มีพัฒนาการ เราอย่าใจร้อน ถ้าเราภาวนาแล้วอยากได้ผลเร็วๆ ใจมันจะฟุ้งซ่าน ต้องตั้งใจไว้เลยเราปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้า จะได้ผลหรือจะไม่ได้ผลก็เรื่องของมัน ไม่เกี่ยวกับเรา รู้ซื่อๆ ไป ใช้ได้นะที่ฝึก

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม 31 กรกฎาคม 2564

ดูจิตได้มากกว่าดูกาย เดินปัญญาได้แต่ไม่มาก ตามเห็นกิเลส อารมณ์ และความคิดได้บ้าง แต่ยังหลงอยู่

คำถาม:

ปฏิบัติในรูปแบบเกือบทุกวันด้วยการเดินจงกรม และดูลมหายใจได้ 20 – 30 นาทีต่อวัน ดูจิตได้มากกว่าดูกาย เดินปัญญาได้แต่ไม่มาก ตามเห็นกิเลส อารมณ์ และความคิดได้บ้าง แต่ยังหลงอยู่ ขอหลวงพ่อแนะนำแนวทางในการปฏิบัติต่อไปค่ะ

 

หลวงพ่อ:

ดูไปเลย ใจเราไม่ค่อยมีความสุข โทสะมันแทรกเป็นระยะๆ เพราะฉะนั้นใจมันจะหงุดหงิดๆๆ ไปเรื่อยๆ ให้เรารู้ทันไป ใจมันหงุดหงิดขึ้นมาเรารู้ ใจมันสงบขึ้นมาเรารู้ เห็นกิเลสนั่นล่ะดีที่สุด การภาวนาถ้าเราไม่เห็นอย่างอื่น เห็นกิเลสที่มันเกิดๆ ดับๆ อยู่ในใจเรา ดีที่สุดแล้ว เพราะศัตรูของเราจริงๆ ก็คือกิเลส เวลาจะแตกหักลงไป ก็คือแตกหักกับกิเลส ทำลายกิเลสคือตัวอวิชชา ตัวโมหะ ตอนนี้โมหะเรายังเยอะอยู่ ใจมันยังฟุ้ง ใจมันยังหลง แล้วก็ประกอบด้วยโทสะเก่ง หงุดหงิดง่ายอะไรอย่างนี้ เราก็คอยรู้เอาๆ เราจะเห็นว่ากิเลสแต่ละตัวมันมาแล้วมันก็ไป มาแล้วก็ไป ห้ามมันก็ไม่ได้ ควบคุมมันก็ไม่ได้ อย่างใจจะหลงห้ามไม่ได้ แต่อย่าหลงนานเท่านั้น ใจมันหลงแล้วก็รู้ ใจมันหลงแล้วรู้ไวๆ เท่านั้น หรือใจหงุดหงิดแล้วก็รู้ ใจหงุดหงิดแล้วก็รู้ รู้บ่อยๆ ไปเรื่อยๆ ถ้าเรารู้ได้ศีลเราก็จะดี สมาธิก็จะดี ปัญญามันก็จะเกิด คอยรู้ทันไปเรื่อยๆ รู้ทันกิเลส รู้บ่อยๆ

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม 31 กรกฎาคม 2564

บางวันก็รู้แต่เหมือนไม่รู้อะไร ก็ตามรู้ไปตามที่มันเป็น ขอหลวงพ่อแนะนำการปฏิบัติด้วยครับ

คำถาม:

ปฏิบัติในรูปแบบโดยนั่งรู้สึกร่างกายหายใจเข้าออกทุกเช้า – เย็นรอบละ 1 ชั่วโมง มีสติมากขึ้น หลงแล้วรู้ เห็นกาย จิต เวทนาอยู่คนละส่วนกัน เห็นร่างกายพยายามขยับหนีเวทนาบ่อยๆ ในชีวิตประจำวันก็ใช้การรู้สึกตัว และตามดูร่างกายหรือจิต เพ่งน้อยลง ใจเป็นธรรมดามากขึ้น เห็นอนิจจังและอนัตตาได้เนืองๆ เห็นกิเลสบ้าง ช่วงนี้เห็นราคะมากขึ้น จากเดิมที่เห็นโทสะ บางวันก็รู้แต่เหมือนไม่รู้อะไร ก็ตามรู้ไปตามที่มันเป็น ขอหลวงพ่อแนะนำการปฏิบัติด้วยครับ

 

หลวงพ่อ:

ที่เล่ามาก็ใช้ได้แล้ว แต่เราสังเกตให้ดีเวลาเราภาวนา บางทีเหมือนเดินปัญญาอยู่ แต่จิตมันไม่ถึงฐานทีเดียวหรอก จิตมันยังอยู่ข้างนอกๆ อยู่ ฉะนั้นเราทำความสงบเข้ามา หายใจไม่ดึงจิต หายใจเฉยๆ ลองถอยออกมาซิ ตรงนี้กับเมื่อกี้ไม่เหมือนกันรู้สึกไหม เมื่อกี้ใจมันออกข้างนอก มันกว้างๆ มันไม่ถึงฐานหรอก มันดูไม่ถึงจิตหรอก จิตมันต้องตั้งมั่นอย่างนี้ มันดูเข้ามาถึงจิตถึงใจจริงๆ มันถึงจะเห็นทุกข์ ถ้าไม่เห็นอย่างนั้นมันก็เหมือนดูหนังเฉยๆ ใจมันจะเฉยๆ มันไม่ได้ซาบซึ้งในความทุกข์ ถ้าจิตตั้งมั่นจริงๆ มันจะเห็นทุกข์ เห็นทุกข์มันก็เห็นธรรม

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม 31 กรกฎาคม 2564

มองให้เป็นจะเห็นธรรมะ

ธรรมะมีในที่ทุกที่ ธรรมะไม่ได้อยู่กับวัด อยู่กับครูบาอาจารย์อย่างเดียวหรอก ฉะนั้นธรรมะอย่างเราไหว้พระพุทธรูปเราก็เห็นธรรมะ นึกถึงพระธรรมเราก็เห็นธรรมะ นึกถึงครูบาอาจารย์ นึกถึงพระสงฆ์เราก็เห็นธรรมะ กระทั่งนึกถึงนรกนั่นล่ะ นรกบนดินทั้งหลาย เราก็เห็นธรรมะ โลกมันหลง มันวุ่นวาย เราก็อย่าไปยุ่งกับมัน เราอยู่กับมันแต่ว่าเราไม่ยุ่งกับมัน จำเป็นต้องอยู่กับมัน เราหนีไปอยู่นอกโลกได้ที่ไหน เราก็ต้องอยู่กับความวุ่นวายนี่ล่ะ แต่อยู่ให้เป็น อยู่แล้วเราก็เห็นธรรมะเกิดขึ้นในใจเราตลอดเวลา

เนิ่นช้าเพราะภาวนาผิด

จับหลักให้แม่นๆ แล้วลงมือทำ จะได้ไม่พลาด ที่ภาวนาแล้วใช้เวลานานมาก เพราะภาวนาผิด ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ของกระจอก ถ้าทำถูกแล้วทำพอ เราจะได้ผลในเวลาอันสั้น ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะที่ลัดสั้นไปสู่ความพ้นทุกข์ ไม่ใช่ทำกันนาน มองไม่เห็นผล ไม่เห็นฝั่ง ทำไปเรื่อยๆ ไม่รู้เหตุรู้ผล

ใช้กรรมเก่าเป็นทรัพยากร

มีร่างกายนี้ก็สร้างความดีไปเรื่อยๆ เรียกว่าเรารู้จักใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีให้มีคุณค่า เป็นคนดี แล้วถ้าจะดีกว่านั้นอีก เอาร่างกายมาภาวนา มาทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ทำสมถะ ทำวิปัสสนา อาศัยร่างกายทั้งนั้น มีสติระลึกรู้ลงไปในร่างกาย มีจิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู คือจิตทรงสมาธิที่ถูกต้อง มีสติระลึกรู้ลงในร่างกาย ไหนๆ ก็มีร่างกายแล้ว แทนที่จะให้มันเป็นเครื่องมือของกิเลส เอามันมาใช้เป็นเครื่องมือผลิตสติผลิตปัญญาของเรา เราใช้ทรัพยากรใช้กรรมเก่าให้เกิดประโยชน์สูงสุดเลย

อย่ามัวแต่รอถามครูบาอาจารย์

เวลาเราภาวนาแล้วเกิดข้อสงสัยขึ้นมา ไม่ต้องไปคิดมาก แขวนข้อสงสัยไว้ แล้วภาวนาของเราไปเรื่อยๆ มันจะรู้สักวันหนึ่ง จะนานเท่าไหร่ก็ช่างมัน เราก็ภาวนาของเราไป ถึงจุดหนึ่งมันก็เข้าใจขึ้นมา ตรงที่จิตมันทรงสมาธิขึ้นมา ปัญญามันจะเกิด ฉะนั้นการภาวนาไม่ใช่การมานั่งถามครูบาอาจารย์ตลอดเวลา แต่ปฏิบัติไป ถ้าจิตมันมีสติ จิตมันมีสมาธิ แล้วปัญญามันเกิด มันตอบปัญหาได้เอง

อยู่ให้เป็นแล้วเย็นสบาย

เราหัดภาวนาไปเรื่อยๆ ถ้าเราเข้าใจธรรมดาของโลกเป็นอย่างนี้ เจริญแล้วเสื่อมในทุกด้าน สุขได้ก็ทุกข์ได้ ดีได้ก็ชั่วได้ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีนินทา มีสรรเสริญ มีสุข มีทุกข์ นี้คือธรรมะประจำโลก คือธรรมดาของโลกเป็นอย่างนี้ ถ้าใจยอมรับว่าโลกต้องเป็นอย่างนี้ ตัณหามันจะไม่เกิด แล้วยิ่งถ้าเราภาวนาได้ประณีตลึกซึ้ง เรารู้ว่ารูปนามกายใจของเรานี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา หมดความยึดถือในรูปนามกายใจ คราวนี้เราจะพ้นทุกข์อย่างแท้จริง

Page 25 of 45
1 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 45