กัลยาณมิตรและโยนิโสมนสิการ

พระพุทธเจ้าท่านเคยบอกว่า “กัลยาณมิตร เป็นเครื่องหมายแรกของอริยมรรค” เหมือนกับแสงเงินแสงทองตอนเช้ามืด ถ้าแสงเงินแสงทองขึ้นตรงไหน สว่างขึ้นด้านไหน เป็นเครื่องหมายแรกว่า พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นตรงนั้น การมีกัลยาณมิตรก็เป็นเครื่องหมายแรกของการบรรลุอริยมรรค ท่านสอนอย่างนี้ แล้วต่อมาท่านก็สอนอีก “โยนิโสมนสิการ เป็นเครื่องหมายแรกของอริยมรรค” เหมือนแสงเงินแสงทองขึ้นมา แล้วพระอาทิตย์จะขึ้นตรงนี้ ถ้าเรามีโยนิโสมนสิการ ถึงวันหนึ่งอริยมรรคก็จะเกิดขึ้น

ฉะนั้นใน 2 สิ่งนี้มีความสำคัญมาก คือกัลยาณมิตรกับโยนิโสมนสิการ แต่วันนี้พิสูจน์ยากว่าใครคือกัลยาณมิตร สิ่งที่หลวงพ่อแนะนำพวกเราคือโยนิโสมนสิการ ปลอดภัยที่สุด โยนิโสมนสิการบอกแล้วไม่ใช่การพิจารณา ใคร่ครวญเอาตามใจกิเลส ต้องดูว่ามันถูกหลักของการปฏิบัติหรือเปล่า

มาดูความจริงของขันธ์ 5

การเรียนรู้ความจริงของรูปนามกายใจ เรามีสติระลึกรู้รูปธรรมนามธรรม มีปัญญาเข้าใจความเป็นจริงของรูปธรรมนามธรรม ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จะเข้าใจได้จิตต้องตั้งมั่น มีสมาธิที่ถูกต้อง จิตเป็นแค่คนดู ร่างกายนี้ถูกดูจิตเป็นคนดู อย่างนี้เรียกเรามีจิตตั้งมั่น พอเห็นความจริง กายนี้คือทุกข์ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเป็นทุกข์ มันจะค่อยๆ ปล่อย ปล่อยเป็นลำดับๆ ไป ปล่อยกายก่อนเพราะมันหยาบมันดูง่าย แล้วสุดท้ายมันก็ไปปล่อยจิตอีกทีหนึ่ง

แก้มิจฉาทิฏฐิด้วยวิปัสสนา

ตัวที่จะช่วยแก้มิจฉาทิฏฐิเราได้มีตัวเดียวเอง คือการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เราจะเห็นรูปธรรมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป รูปก็มีเหตุสัมพันธ์สืบเนื่องกันไป อย่างร่างกายเราอาศัยธาตุมาประชุมกัน มีธาตุไหลเข้า มีธาตุไหลออก ร่างกายเราก็ค่อยๆ ปรับค่อยๆ เปลี่ยนไป จากตัวเล็กก็ตัวโตขึ้น โตเต็มที่แล้วก็เริ่มตัวฝ่อลงไป สุดท้ายก็แตกสลาย จิตใจนี้ก็เหมือนกัน เราภาวนาเราก็จะเห็น จิตทุกชนิดเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป

เข้าใจจิตก็เข้าใจโลก

เข้าใจจิตใจตัวเองก็จะเข้าใจชีวิตของตัวเอง เข้าใจสิ่งที่แวดล้อมชีวิตของเราอยู่ ครอบครัวเราอย่างนี้แวดล้อมเราอยู่ ที่ทำงานเรา เพื่อนร่วมงานเราแวดล้อมเราอยู่อีกชั้นหนึ่ง สังคมข้างนอกก็แวดล้อมเราอยู่อีกชั้นหนึ่ง สังคมระหว่างประเทศก็แวดล้อมเราอยู่อีกชั้นหนึ่ง ถ้าชั้นในสุดก็คือที่จิตของเราเอง เขยิบกว้างออกมาก็มีที่กายด้วย ที่จิตด้วย กว้างกว่านั้นก็เป็นครอบครัว เป็นสังคม เป็นชั้นๆ ไป เรียนจากแกนกลางของมัน เรียนรู้อยู่ที่จิตได้ง่ายที่สุดเลย ถ้าเมื่อไรเห็นว่าจิตไม่ใช่ตัวเรา โลกทั้งโลกมันก็ไม่เป็นตัวเราหรอก

จิตเคลื่อนแล้วรู้

การที่จิตเคลื่อนแล้วรู้ๆ อันแรกเราได้สติ เคลื่อนปุ๊บรู้ปั๊บๆ รู้เร็วขึ้นๆ จิตเคลื่อนแล้วรู้อย่างนี้ จิตก็ไม่ถูกกิเลสครอบงำ เราจะมีศีลอัตโนมัติเกิดขึ้น เรียกเป็นอินทรียสังวรศีล เป็นศีลสูง ศีลสูงกว่าศีลที่เราตั้งใจถือเป็นข้อๆ นอกจากจะได้สติ ได้ศีลแล้ว ตรงที่เราเคลื่อนแล้วเรารู้ ขณะที่รู้การเคลื่อนจะดับ จิตจะไม่เคลื่อน จิตจะตั้งมั่นขึ้นโดยอัตโนมัติ ตัวนั้นคือตัวสมาธิ คือสมาธิที่ดี เป็นสัมมาสมาธิ จิตตั้งมั่น

บางทีเห็นสิ่งที่ถูกรู้ไม่ใช่เรา จิตยังไม่เป็นกลาง

ในขั้นของการปฏิบัติ ในขั้นที่เรายังเจริญปัญญาอยู่ เราจำเป็นต้องมีผู้รู้เพื่อตัดชีวิตเราให้ขาดเป็นช่วงๆ ไม่ใช่เป็นผู้หลงอันเดียว ตั้งแต่เกิดจนตาย แต่มันจะเกิดดับๆๆ ตัวรู้ทำให้จิตมันขาดช่วงจากจิตหลง มีจิตรู้ปุ๊บ จิตหลงดับอะไรอย่างนี้ หรือมีจิตรู้ขึ้นมา จิตโกรธก็ดับ จะเห็นจิตขาดช่วงไปเรื่อยๆ สุดท้ายมันก็จะเห็นว่าจิตทั้งหมด กระทั่งตัวจิตผู้รู้ก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ต้องเห็นมาถึงตรงนี้ ถึงจะผ่านไปวางจิตได้

จิตตั้งมั่น

พอจิตมันตั้งมั่นขึ้นมาแล้ว มันจะเห็นทุกข์ได้ ถ้าจิตไปว่างอยู่ข้างนอก ไม่มีวันเห็นทุกข์หรอก มันมีแต่สุข มันมีแต่สบาย มีแต่ว่าง ถ้าจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวจริงๆ ระลึกลงในกายก็เห็นทุกข์ในกาย ระลึกลงที่จิตก็เห็นทุกข์ที่จิต ตรงนี้จิตมันเดินปัญญาได้ แล้วขันธ์มันแยก มันแยกตั้งแต่จิตเราตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูแล้ว

การดูจิตดูใจ

การภาวนาเราตัดตรงเข้ามาเรียนรู้ที่จิตเป็นหนทางปฏิบัติที่ลัดสั้น แต่บางคนไม่มีกำลังที่จะตัดตรงเข้ามาเรียนจิต ก็เรียนทางกายไปก่อน หัดรู้กายไปก่อน รู้กายถูกต้อง ชำนิชำนาญต่อไปจิตก็มีกำลังขึ้นมา ตั้งมั่นขึ้นมา มันก็จะค่อยมาดูจิตได้ทีหลัง ฉะนั้นดูกายต่อไปก็เห็นจิต แต่ถ้าดูจิตได้ก็ดูไปเลย มิฉะนั้นเสียเวลา อันนี้ไม่ใช่หลวงพ่อคิดเอาเอง เป็นคำสอนที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนมา หลวงปู่มั่นบอกว่าดูจิตได้ให้ดูจิต ดูจิตไม่ได้ให้ดูกาย ถ้าดูจิตไม่ได้ ดูกายไม่ได้ทำสมถะ ท่านสอนอย่างนี้ หลวงปู่ดูลย์ท่านก็บอกว่าการดูจิตเป็นการปฏิบัติที่ลัดสั้นที่สุด คือตัดตรงเข้ามาที่นี่เลย คนเราจะดี จะชั่ว จะสุข จะทุกข์ก็เพราะจิต จะเกิดในภพภูมิอะไรก็เพราะจิต ฉะนั้นตัดตรงเข้ามาที่จิต ตรงนี้ก็เร็ว ไปได้เร็ว