นั่งสมาธิแล้วเป็นมิจฉาสมาธิ

คำถาม:

เมื่อก่อนเดินจงกรมอย่างเดียว นั่งสมาธิไม่ได้เพราะนั่งแล้วเป็นมิจฉาสมาธิ ระหว่างวันก็บริกรรมและรู้ตัวไปด้วย อาทิตย์ที่ผ่านมาเริ่มกลับมาลองนั่งสมาธิใหม่ ก็กลับไปเหมือนเดิม พอรู้อย่างที่มันเป็นจิตมันก็แสดงให้เห็นว่ามันทำงานของมันเอง และรู้สึกตัวว่าตัวเราไม่มี แต่ลึกๆ มันบอกว่ามีตัวเราเป็นขอบๆ ของความรู้สึก ตอนเวลาควานหาตัวเราอยู่ เห็นอยู่บ่อยๆ ว่าจิตมันดีดดิ้นอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่มีที่ยึดจะอยู่ไม่ได้ รู้สึกเคว้ง รู้สึกว่าตัวเองเป็นตัณหาจริต และพื้นฐานจิตฟุ้งซ่าน จากการที่กลับมาภาวนาต่อเนืองได้ประมาณ 7 เดือน สังเกตได้ว่ารู้สึกตัวได้บ่อยขึ้น รู้อย่างที่มันเป็นพอได้ สติพอจะเริ่มมี แต่สมาธิไม่ดี ทำให้ความสงบไม่ค่อยเกิด อยากถามหลวงพ่อว่า ที่ดูมานี้ถูกไหมคะ

 

หลวงพ่อ :

ถูก แต่ว่าอย่าทิ้งการนั่งสมาธิต้องนั่งด้วย นั่งแล้วก็ที่มันไปเป็นมิจฉา เพราะเราไปเพ่งมัน ไปเพ่งจนจิตมันซึม โมหะมันแทรก เรานั่งไปด้วยความรู้เนื้อรู้ตัว นั่งไปสบายๆ เห็นร่างกายมันนั่ง เห็นร่างกายมันหายใจใจเราเป็นคนดู ฝึกเรื่อยๆ สมาธิมันจะได้เข้มแข็งขึ้น ตอนนี้สมาธิมันยังไม่พอ ที่ฝึกอยู่ถูกแล้ว แต่สมาธิมันไม่พอ เราจะต้องฝึกสมาธิให้ได้ในทุกอิริยาบถ เพราะเราไม่รู้ว่าเวลาเราจะตาย เราจะอยู่ในอิริยาบถอะไร บางคนตายในอิริยาบถเดินก็มี เดินๆ ข้ามถนนรถชนเปรี้ยงตายอยู่กลางอากาศเลย อย่างนั้นก็มี บางคนก็นอนตาย บางคนก็นั่งตาย

ฉะนั้นเราพยายามฝึกให้ได้ในทุกอิริยาบถ ไม่ใช่ดีเฉพาะตอนเดิน ถ้าดีเฉพาะตอนเดินแล้ววันหนึ่งป่วยเดินไม่ได้ เราจะลำบาก ต้องฝึก แล้วใน 4 อิริยาบถ อิริยาบถที่ยากที่สุดคืออิริยาบถนอน เพราะนอนภาวนาเดี๋ยวก็หลับ อันนี้เอาไว้ฝึกทีหลัง หรือไม่ก็ไว้ฝึกตอนจะนอนจริงๆ ก็แล้วไป บางคนก็ใช้วิธีเปิดซีดีหลวงพ่อแล้วก็นอนฟังไปเรื่อยๆ เพื่อจะได้หลับ อันนี้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเวลาจะปฏิบัตินั่งสมาธิ เดินจงกรม แล้วก็จะลงไปนอน ขี้เกียจเดินแล้วลงไปนอน แล้วอ้างว่าปฏิบัติอันนี้ไม่ใช่อันนั้นขี้เกียจ ฉะนั้นเราพยายามฝึกให้ได้ในทุกอิริยาบถ อย่างหลวงพ่อกลางคืนบางทีก็นอน นอนแล้วก็ภาวนาของเราไปเรื่อยๆ อยู่ได้หลายๆ ชั่วโมงก็ไม่หลับหรอก พอจะหลับเราก็คลายสมาธิออกก็จะหลับ ที่ฝึกดีขึ้นแต่สมาธิยังไม่พอ

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
17 กรกฎาคม 2564

การดูจิตดูใจ

การภาวนาเราตัดตรงเข้ามาเรียนรู้ที่จิตเป็นหนทางปฏิบัติที่ลัดสั้น แต่บางคนไม่มีกำลังที่จะตัดตรงเข้ามาเรียนจิต ก็เรียนทางกายไปก่อน หัดรู้กายไปก่อน รู้กายถูกต้อง ชำนิชำนาญต่อไปจิตก็มีกำลังขึ้นมา ตั้งมั่นขึ้นมา มันก็จะค่อยมาดูจิตได้ทีหลัง ฉะนั้นดูกายต่อไปก็เห็นจิต แต่ถ้าดูจิตได้ก็ดูไปเลย มิฉะนั้นเสียเวลา อันนี้ไม่ใช่หลวงพ่อคิดเอาเอง เป็นคำสอนที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนมา หลวงปู่มั่นบอกว่าดูจิตได้ให้ดูจิต ดูจิตไม่ได้ให้ดูกาย ถ้าดูจิตไม่ได้ ดูกายไม่ได้ทำสมถะ ท่านสอนอย่างนี้ หลวงปู่ดูลย์ท่านก็บอกว่าการดูจิตเป็นการปฏิบัติที่ลัดสั้นที่สุด คือตัดตรงเข้ามาที่นี่เลย คนเราจะดี จะชั่ว จะสุข จะทุกข์ก็เพราะจิต จะเกิดในภพภูมิอะไรก็เพราะจิต ฉะนั้นตัดตรงเข้ามาที่จิต ตรงนี้ก็เร็ว ไปได้เร็ว

วัฏฏะไม่มีความแน่นอน

เวลาที่เราเดินทางไกลในสังสารวัฏเราก็มีพ่อ มีแม่ มีสามี มีภรรยา มีลูก มีหลาน แต่ละภพแต่ละชาติก็มีเยอะแยะไปหมด ชาตินี้คนนี้มาเป็นสามี ชาติหน้าคนอื่นก็มาเป็นอะไรอย่างนี้ วัฏฏะไม่มีความแน่นอน หรือมาเป็นพ่อแม่เป็นลูกหลานกัน วัฏฏะที่ยาวนานนั้น พระพุทธเจ้าท่านถึงขนาดบอกว่า คนในโลกที่มาเจอกัน ที่ไม่เคยเป็นพ่อแม่พี่น้องกัน ไม่เคยเป็นลูกเป็นอะไรอย่างนี้ หาแทบไม่ได้เลย สังสารวัฏไม่ได้มีอะไรน่าชื่นใจเลย แล้วก็ไม่มีอะไรยั่งยืนมั่นคงเลย มันเป็นอย่างนี้มาตลอด ถ้าเราเข้าใจเราก็ไม่ยึดถือมันมาก

การเรียนรู้จิตทำได้ 2 แบบ

การเรียนรู้จิต รู้เท่าทันจิต ดูได้ 2 แบบ อันหนึ่งรู้จิตซึ่งประกอบด้วยเจตสิกต่างๆ อย่างเช่น จิตโลภเกิดแล้วก็ดับ จิตโกรธเกิดแล้วก็ดับ ความโลภ ความโกรธมันเป็นเจตสิก ไม่ใช่จิต เป็นสิ่งที่มาประกอบจิต จิตสุขเกิดแล้วดับ จิตทุกข์เกิดแล้วดับ เราเห็นจิตและความรู้สึกต่างๆ มันเกิดขึ้น มันเกิดอยู่ด้วยกัน เห็นจิตมันเกิดดับผ่านเจตสิก อีกอย่างหนึ่ง เราเห็นพฤติกรรมของจิต จิตเดี๋ยวก็มีพฤติกรรมไปดู เป็นผู้ดู เดี๋ยวก็เป็นผู้ฟัง เดี๋ยวเป็นผู้ดมกลิ่น เดี๋ยวเป็นผู้ลิ้มรส เดี๋ยวเป็นผู้รู้สัมผัสทางร่างกาย เดี๋ยวเป็นผู้คิดนึกทางใจ เดี๋ยวเป็นผู้เพ่งทางใจ หรือบางทีก็เป็นผู้รู้ขึ้นมา เราจะเห็นจิตมันทำงานอยู่ทางอายตนะทั้ง 6

ธรรมะเป็นเรื่องของเหตุกับผล

เริ่มจากอินทรียสังวร ถ้าอินทรียสังวรดี สุจริต 3 จะเกิด สุจริต 3 ดี การเจริญสติปัฏฐานจะสมบูรณ์ขึ้นมา การเจริญสติปัฏฐานที่สมบูรณ์จะทำให้โพชฌงค์ 7 สมบูรณ์ขึ้นมา แล้วโพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ขึ้นมา มรรคผลจะเกิดนิพพานจะปรากฏ เป็นเรื่องของเหตุกับผล ถ้าทำเหตุอย่างนี้จะมีผลอย่างนี้ ทำเหตุอย่างนี้จึงมีผลอย่างนี้ ธรรมะทั้งหลายของพระพุทธเจ้ามีลักษณะอย่างนี้ เป็นเหตุกับผลที่สืบเนื่องกันไป เป็นขั้นๆๆ สืบเนื่องกันไป เราค่อยๆ ภาวนาเดี๋ยวเราก็เข้าใจ

เหนือโลกไม่ใช่หนีโลก

ระหว่างหนีโลกกับเหนือโลกไม่เหมือนกัน หนีโลกนี่เหมือนคนอ่อนแอ แพ้ผัสสะ แสวงหาแต่ความสุขความสบายอะไรอย่างนี้ ไม่อยากกระทบอารมณ์ พวกหนีโลกนี่ไม่สามารถพ้นโลกได้ มันเอาแต่หนี มันก็จะหนีจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง ในขณะที่พวกที่เรียนรู้โลก สิ่งที่เรียกว่าโลกก็คือกายกับใจเรานี่ล่ะ เรียนรู้มากๆ เห็นความจริงของกาย เห็นความจริงของใจ จิตมันคลายความยึดถือในกายในใจ จิตไม่ยึดถือกาย ไม่ยึดถือใจ ก็เรียกจิตมันพ้นโลก

อริยมรรคมีองค์ 8

ถ้าเรามีความเห็นถูก มีความคิดถูก มีคำพูดถูก มีการกระทำถูก มีการเลี้ยงชีวิตถูก มีความเพียรถูก มีสติถูก มีสมาธิถูก มันก็เกิดขึ้น พอถึงจุดที่สมาธิถูก จิตมันถึงสัมมาสมาธิแล้ว สัมมาญาณะคือปัญญาที่ถูกต้องมันจะเกิด แล้วจิตรวมลงไปเราจะเห็นสภาวะเกิดดับอยู่ภายใน ตรงนี้ญาณทัสสนะที่แท้จริงมันเกิดแล้ว แล้วถัดจากนั้นมรรคผลก็เกิด ตรงที่มรรคผลเกิดก็เป็นสัมมาวิมุตติเกิดขึ้น

มีชีวิตอยู่กับความจริงในปัจจุบัน

เรามีชีวิตอยู่ชั่วขณะจิตเท่านั้นเอง เรามีสติมีปัญญาระลึกรู้ลงตรงนี้ได้ จิตไม่หลงไปอดีต จิตไม่หลงไปอนาคต เพราะฉะนั้นถ้าเราอยู่กับปัจจุบันได้จริงๆ เราจะไม่คร่ำครวญถึงอดีต เราจะไม่เพ้อฝันกังวลถึงอนาคต บางทีก็ใฝ่ฝันปลื้ม บางทีก็กังวลถึงอนาคต เราอยู่กับปัจจุบันซึ่งเป็นความจริง ไม่ใช่ความจำในอดีต ไม่ใช่ความคิดในอนาคต ชีวิตที่อยู่กับความจริงในปัจจุบัน เป็นชีวิตที่ทุกข์ไม่ได้หรอก

สติครอบคลุมองค์มรรคทั้งหมด

อาศัยที่เรามีสติคอยรู้สึกๆ อยู่ในกายในใจเรื่อยๆ ตรงที่เรามีสติคอยรู้สึกอยู่ในกายในใจ สัมมาวายามะก็เกิด สัมมาสติก็เกิด สัมมาสมาธิก็เกิด เกิดอัตโนมัติ ฉะนั้นสติไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ที่จริงแล้วสติครอบคลุมองค์มรรคทั้งหมดเลย ถ้าเราขาดสติตัวเดียวองค์มรรคไม่มีเหลือเลย

สติปัฏฐาน 4 ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้

สติปัฏฐาน 4 ถ้าเราฝึกไป เบื้องต้นทำให้เกิดสติ เบื้องปลายทำให้เกิดปัญญา แล้วสติปัฏฐาน 4 นี่ไม่ว่าหมวดใดหมวดหนึ่งสามารถทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ถ้าเราไปอ่านพระไตรปิฎกจริงๆ อย่างมหาสติปัฏฐานสูตร ลงท้ายแต่ละบรรพแต่ละบทจะลงท้ายเหมือนกันหมดเลยว่าท่านถอดถอนความยินดียินร้ายในโลกเสียได้ ถ้าถอดถอนความยินดียินร้ายในโลกเสียได้ มันก็พ้นโลกเท่านั้นเอง

Page 55 of 69
1 45 46 47 48 49 50 51 52 53 54 55 56 57 58 59 60 61 62 63 64 65 69