พอจิตสงบ พุทโธจะหายไปจะเหลือแต่ลมหายใจแผ่วๆ เมื่อจิตสงบมากๆ หรือจิตหลงไปคิด จะถอนลมหายใจออกยาวๆ แล้วกลับมาตามลมหายใจ

ฝึกปฏิบัติโดยใช้หลักวิหารธรรมลมหายใจเข้า พุทออกโธครับ เคยส่งการบ้านเมื่อต้นปี 2562 พ่อแม่ครูอาจารย์ให้กลับมาทำสมาธิเพิ่มขึ้นอีก กระผมได้กลับมาปฏิบัติถึงปัจจุบันครับ พอนั่งจิตสงบ พุทโธจะหายไปจะเหลือแต่ลมหายใจแผ่วๆ เมื่อจิตสงบมากๆ หรือจิตหลงไปคิด กระผมจะถอนลมหายใจออกยาวๆ แล้วกลับมาตามลมหายใจ ขอคำแนะนำเพิ่มเติมครับ

 

หลวงพ่อ:

ภาวนาถูกแล้ว พอจิตเรามีกำลัง เราก็เอาจิตที่มีกำลังแล้ว มีสมาธิแล้วไปเดินปัญญา ระลึกลงในร่างกาย ตั้งแต่หัวถึงเท้า เท้าถึงหัว ไล่ขึ้นไล่ลง คอยดูไปเรื่อยๆ แต่ไม่ได้ดูแบบพรวดพราด ดูหัวทีเดียวถึงเท้าอะไรอย่างนี้ เร็วไป ค่อยๆ สังเกตไป ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก แต่ละส่วนๆ นี่ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา ค่อยๆ ดูไปเรื่อยๆ ส่วนจิตใจมันจะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอะไร มันจะเห็นเอง

สมาธิดี ทำต่อ สมาธิไม่ทิ้ง เดินไปด้วยการใช้สมาธิอย่างนี้ การปฏิบัติเราจะไม่แห้งแล้ง มันจะปฏิบัติไป มีความสุข มีความสงบไปตลอดสายของการปฏิบัติ มีจิตที่ทรงสมาธิอยู่ นี้พอจิตเราสงบตั้งมั่น ดีแล้ว พักผ่อนพอสมควรแล้ว ไม่เกียจคร้าน ออกมาดูร่างกายนี้ ทำไมหลวงพ่อไม่บอกไปดูจิต ถ้าจิตสงบแล้วมันไม่ค่อยมีอะไรให้ดู มันว่างๆ นิ่งๆ ไป ออกมาดูกาย แต่ถ้าจิตมันขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอะไร เราเห็น เราก็ดูจิตไปเลย แต่ถ้าจิตมันเฉยๆ มาดูที่กาย ร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเรา ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา คอยดูไปอย่างนี้เรื่อยๆ ไป ภาวนาเก่ง ภาวนาได้ดีเชียวล่ะ

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
25 กรกฎาคม 2564

ตอนนี้เห็นกิเลสตัวเล็กๆ บางตัวก็ไม่เคยรู้ว่าตัวเองมี และเห็นจิตที่ถูกบีบคั้นอยู่บ่อยๆ

2 ปีก่อน หลวงพ่อบอกดิฉันว่าจิตฟุ้งซ่าน ให้บริกรรมช่วย ตอนนี้ดิฉันเห็นกิเลสตัวเล็กๆ มากขึ้นมาก บางตัวก็ไม่เคยรู้ว่าตัวเองมี เห็นจิตที่ถูกบีบคั้นอยู่บ่อยๆ ขอการบ้านหลวงพ่อต่อค่ะ

 

หลวงพ่อ:

ทำต่อไป ทำแล้วเราเห็นกิเลสเรา เรามีพัฒนาการแล้ว ต่อไปเราก็จะสังเกตเวลากิเลสเกิด จิตบางทีก็มีโทสะแทรก เราไม่ชอบกิเลสอะไรอย่างนี้ ให้รู้ทัน นึกออกไหม บางทีเห็นกิเลสแล้วไม่ชอบมัน มันไม่เป็นกลาง ให้รู้ทันไปว่าตอนนี้ไม่ชอบแล้ว ตอนนี้ไม่เป็นกลางแล้ว เพราะฉะนั้นจิตที่ดีที่หลวงพ่อบอกว่ามันสงบ มันตั้งมั่น มันเป็นกลาง จุดสำคัญต้องเป็นกลางด้วย ตั้งมั่นอย่างเดียวแต่ไม่เป็นกลาง ยังไม่ดีพอ

ฉะนั้นอย่างเราตั้งมั่น เราก็จะเริ่มเห็นสภาวะ อย่างเห็นกิเลสเยอะแยะเลย แต่ใจมันไม่ชอบ ใจมันไม่เป็นกลาง ให้รู้ตรงที่ใจไม่เป็นกลาง พอใจเป็นกลาง เราจะเดินปัญญาต่อได้ง่ายๆ เลย กิเลสจะมาหรือกิเลสจะไป เราไม่เกลียด เราไม่ดีใจ เราไม่เสียใจ เราก็เห็นแค่ว่าสภาวะบางอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เราไม่หลงดีใจ เราไม่หลงเสียใจกับมัน ค่อยๆ ดูจนมันเป็นกลาง แต่ความเป็นกลางอย่าไปแต่งขึ้นมา อย่าไปทำมันขึ้นมา ให้รู้ตรงที่มันชอบ ตรงที่มันไม่ชอบแล้วมันเป็นกลางของมันเอง ตรงที่เราไปจงใจให้เป็นกลาง อันนั้นกลางปลอม ใช้ไม่ได้

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
25 กรกฎาคม 2564

การภาวนาในรูปแบบ ใช้การเดินจงกรมและนั่งสมาธิ แต่มักไม่สงบตั้งมั่น

ส่งการบ้านครั้งแรก ปฏิบัติมา 2 ปีครึ่ง ในชีวิตประจำวันใช้การบริกรรมพุทโธ สลับกับ ดูร่างกายเคลื่อนไหว รู้สึกตัวทุกวัน แต่ไม่ต่อเนื่องทั้งวัน ต้องคอยเตือนตัวเองให้รู้สึกตัวเป็นระยะๆ ในรูปแบบ ใช้การเดินจงกรมและนั่งสมาธิ แต่มักไม่สงบตั้งมั่น กราบขอหลวงพ่อช่วยชี้แนะข้อผิดพลาดและวิธีปฏิบัติต่อไปด้วยค่ะ

 

หลวงพ่อ:

เราภาวนาไปเรื่อยๆ สงบก็ช่าง ไม่สงบก็ช่าง ไม่สำคัญหรอก ให้ได้ลงมือปฏิบัติสม่ำเสมอเท่านั้นล่ะ เดี๋ยวความสงบก็เป็นของแถมมาเอง ที่ฝึกอยู่ใช้ได้ ดี แต่ขณะนี้จิตออกนอกนิดหน่อย รู้สึกไหม มาตั้งใจฟังหลวงพ่อ จิตมันออกไปข้างนอก ลองหายใจสิ อย่าไปยุ่งกับจิต หายใจเฉยๆ อย่าไปมองมัน หายใจเฉยๆ รู้สึกไหม จิตมันกลับเข้ามาแล้ว นี่เราคอยรู้อย่างนี้ จิตเราตั้งมั่นอยู่ เรารู้ แล้วมันออกนี่ เราจะรู้ ใช้ได้ อย่างนี้ดี แต่อย่าให้มันลอยๆ ว่างๆ อยู่ข้างนอก

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
25 กรกฎาคม 2564

พูดผิด จำไม่ค่อยได้เหมือนคนความจำเสื่อม รำคาญใจ

ภาวนาดูกายเคลื่อนไหว ชัดบ้าง หลงบ้าง เวลาใช้พุทโธ ไม่ถึง 6 ครั้ง ก็รู้สึกมีอะไรบางอย่าง พุทโธหาย บางทีหลงไปคิด รู้สึกตัวก็กลับมาพุทโธ ปัญหาคือเมื่อต้องพูดคุยที่จะเอ่ยชื่อบุคคล สถานที่ ก็จะพูดผิด เหมือนคนความจำเสื่อม รำคาญใจค่ะ

 

หลวงพ่อ:

อันนั้นเพราะจิตเราไม่สนใจ จิตเราไม่ได้สนใจ มันก็ไม่จำไว้ นี้ถ้ามีหน้าที่ต้องจำ เราก็พยายามจำ แต่มันมีอีกอย่างหนึ่ง คือความชราของสมอง ความแก่ของเรา บางทีมันก็นึกไม่ออก มันเป็นเรื่องธรรมดา บางทีก็นึกออก บางทีก็นึกไม่ออก เป็นเรื่องปกติ

แต่ถ้าเราภาวนาแล้ว โน่นก็ไม่จำ นี่ก็ไม่จำ อันนั้นจิตมันติดสมาธิ ติดความสุข ความสงบเฉยๆ ฉะนั้นถ้าเรามีหน้าที่ต้องจำ เราก็ใช้สติให้แรงขึ้นตรงนั้น สมมติเราจะวางถ้วยอย่างนี้ ทำความรู้สึกวาง เราจะไม่ลืมแล้ว แต่ถ้าเราดูแต่จิต วางไปอย่างนี้ แล้วไปวางไว้ไหนก็ไม่รู้ นึกออกไหม ฉะนั้นเวลาจะอยู่กับโลก เพิ่มสติ หมายถึงสติที่อยู่กับโลก จะขยับเขยื้อนจะทำอะไร คอยรู้สึก เอาของไปวางตรงนี้ รู้สึกอะไรนี้ ไม่ใช่ดูแต่จิต ดูแต่จิตเดี๋ยวลืมโลกไปหมดเลย ที่ภาวนาใช้ได้ๆ

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
25 กรกฎาคม 2564

ภาวนารู้สภาวะ เห็นความคิดก็ยังแฝงด้วยกิเลส แต่ในใจนั้นมีความเฉยๆ กลับไม่ทุกข์

ผมภาวนาในรูปแบบด้วยการเดินจงกรม สวดมนต์เป็นประจำและนั่งสมาธิภาวนาเป็นบางครั้ง การเดินมีเวทนามากทำให้เดินได้น้อยลง การภาวนาระหว่างวันใช้ภาวนาพุทโธเป็นหลัก เห็นจิตหลงไปคิดบ่อยๆ บางครั้งเห็นความคิดลอยมาเอง แวบเดียว และในความคิดเหล่านั้นก็ยังแฝงด้วยกิเลส แต่ภาวะภายในใจนั้นมีความเฉยๆ กลับไม่ทุกข์ ไม่ทราบว่าที่ภาวนาอยู่มีข้อผิดพลาดประการใดครับ

 

หลวงพ่อ:

เวลาที่เรารู้สภาวะแล้วไม่ทุกข์นี่มีหลายแบบ อันหนึ่งจิตตั้งมั่นเป็นกลางจริงๆ เห็นทุกอย่างมาแล้วก็ไป ใจไม่ทุกข์ อีกอย่างหนึ่งคือใจมันซื่อบื้อ ใจมันเฉยๆ มันไปค้างอยู่ในอารมณ์เฉยๆ อย่าให้ค้างอยู่ในความเฉยๆ อย่างขณะนี้จิตมันนิ่งๆ อยู่ในความเฉยๆ รู้สึกไหม นี่ถ้าเราเห็น เราทำอย่างนี้ คนด่าเรา เราก็เฉยๆ เกิดอะไรขึ้น เราก็เฉยๆ เราไปทำจิตให้มันเฉยๆ อย่าไปบังคับจิตให้มันนิ่ง ให้จิตมันเคลื่อน ให้มันเป็นธรรมชาติจริงๆ

ฉะนั้นถ้าเราประคองจิตไว้อย่างนี้ มันเฉยๆ ตรงที่เราแต่งจิตขึ้นมาให้เฉยๆ ตรงนี้บางทีมันเกิดจากการหนีทุกข์ ชีวิตอาจจะทุกข์เยอะแล้วก็มาแต่งให้มันเฉยๆ อย่างนี้ รู้สึกว่ามันไม่ทุกข์ดี มันเฉยๆ มันไม่ทุกข์ สู้มัน ถอยออกมา พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกให้เราหนีทุกข์ พระพุทธเจ้าสอนให้เรารู้ทุกข์ แต่ก็ไม่ใช่ตะบี้ตะบันรู้ บางช่วงเราเหนื่อยเกินไป เราก็พักผ่อน ไหว้พระสวดมนต์อะไรต่ออะไรไป นั่งสมาธิ เดินจงกรม เพื่อให้จิตผ่อนคลาย ไม่ใช่เพื่อหนีทุกข์ ฝึกไปอยู่เฉยๆ ทั้งวัน ถอยออกมา กลับมาอยู่กับโลกนี้ พอเราพักผ่อน สงบ พักผ่อนพอแล้ว เรากลับเข้ามารู้กายรู้ใจ แล้วก็เดินปัญญาต่อ อย่างนี้เราจะพ้นทุกข์ ไม่ใช่หนีทุกข์

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
25 กรกฎาคม 2564

ปฏิบัติในรูปแบบสม่ำเสมอแต่ยังฟุ้งซ่าน การปฏิบัติระหว่างวันสติหลุดจนโกรธมาก ดูจิตที่หลงไปคิดจริงจังไม่ทัน

ปฏิบัติในรูปแบบสม่ำเสมอแต่ยังฟุ้งซ่าน การปฏิบัติระหว่างวันสติหลุดจนโกรธมาก ดูจิตมัวตรงๆ ได้นานๆ ครั้ง ร่วมกับดูจิตฟุ้งซ่านหลังรู้ว่าไหลไปเบาๆ เอื่อยๆ ส่วนจิตที่หลงไปคิดจริงจัง ดูไม่ทันค่ะ ขอหลวงพ่อชี้แนะสิ่งที่ต้องปรับปรุง

 

หลวงพ่อ:

คือถ้ามันจำเป็นต้องคิด คิดเรื่องทำมาหากิน คิดเรื่องแก้ไขปัญหาชีวิต ปัญหาครอบครัวอะไร มันจำเป็นต้องคิด ก็คิดไปเถอะ แต่เราไม่หาขยะมาให้จิต ทุกวันนี้ขยะเต็มไปหมดเลย เปิดอินเทอร์เน็ตมาก็เจอแล้ว ขยะคือข้อมูลขยะทั้งหลาย ข้อมูลที่เห็นแล้วจิตเศร้าหมอง อย่าไปดูมัน ดูเท่าที่จำเป็น นี้พอเราไปรับข่าวสารข้อมูลที่ทำให้จิตเศร้าหมองมากอะไรนี่ ใจเราก็เดือดร้อนรำคาญ โทสะก็ครอบเรา เราก็ไม่มีกำลังหรอก

เวลานี้โรคระบาดรุนแรง บ้านเมืองวิกฤต ต้องยอมรับว่าบ้านเมืองวิกฤต เป็นวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งของบ้านเมือง ผู้คนวุ่นวาย บางคนวุ่นวาย เจตนาแกล้งให้วุ่นวาย มีผลประโยชน์แอบแฝง บางคนแตกตื่นแล้ววุ่นวาย บางคนก็มีกิเลสอย่างอื่น เช่น อยากโอ้อวด อยากแสดงความคิดความเห็นอะไรอย่างนี้ พวกนี้มันช่วยกันเพิ่มข้อมูลขยะขึ้นมาเต็มไปหมดเลย ข้อมูลขยะนี้ยิ่งเราเสพมาก ใจเรายิ่งเดือดร้อน โทสะขึ้นทั้งวันเลย ดูนี่ก็โทสะขึ้นๆ พวกที่เกลียดนายกฯ ไปอ่านข่าวคนชมนายกฯ โทสะขึ้น เกลียดนายกฯ ไปเห็นข่าวด่านายกฯ ก็ดีใจ ราคะขึ้น เกิดวิหิงสาวิตก มุ่งคิดร้ายด้วยโมหะอะไรอย่างนี้ คิดร้ายด้วยราคะ คิดร้ายด้วยโทสะอะไรนี่ ใจเราวนเวียนอยู่ในเรื่องมิจฉาสังกัปปะ คิดก็คิดไปด้วยอำนาจของราคะ คิดไปด้วยอำนาจของโทสะ คิดไปด้วยอำนาจของโมหะ ไปไม่รอดหรอก ภาวนาไม่ได้

ฉะนั้นเลี่ยงข้อมูลขยะ ดูข่าวเท่าที่จำเป็น จะรักษาตัว ป้องกันตัว ป้องกันครอบครัวอย่างไร จะทำมาหากินอย่างไร ดูพวกนี้พอแล้ว ข่าวที่เขาด่ากันไปด่ากันมา เสียเวลา คนอื่นเขามีกิเลส เราห้ามเขาไม่ได้หรอก เราก็ภาวนาของเรา รักษาตัวของเราเอาไว้ อย่าให้เป็นบ้าเสียก่อนที่ โควิดจะหาย หลายคนเป็นบ้าไปแล้ว ยังไม่ทันจะเป็นโควิด เป็นบ้าไปแล้ว

ของหนูไม่มีอะไรหรอก ของหนูใจมันฟุ้งซ่าน ฉะนั้นเราก็หลีกเลี่ยงสิ่งที่กระตุ้นให้ใจฟุ้งซ่านเสีย เลี่ยงให้มากที่สุด ก็จะช่วยให้เราสบายขึ้น วันๆ แทนที่จะเปิดอินเทอร์เน็ตไปนั่งดูเขาด่ากัน ก็เปิดฟังหลวงพ่อเทศน์ไป กิเลสไม่เกิดหรอก แต่บางทีก็ขัดกิเลสเหมือนกัน ฟังแล้วกิเลสไม่อยากฟัง ของหนูไปดู ลดละเรื่องข้อมูลไม่ดีทั้งหลาย ตั้งอกตั้งใจภาวนา ช่วงโควิดเป็นช่วงที่ให้โอกาสกับนักปฏิบัติ เรามีผัสสะที่ไม่ดี เรามีความทุกข์ เรามีความเดือดร้อน อย่างทำมาหากินยากอะไรอย่างนี้ ช่วงเวลาที่ชีวิตเดือดร้อนเป็นนาทีทองของการปฏิบัติสำหรับผู้ปฏิบัติเป็น ถ้าปฏิบัติไม่เป็น เป็นช่วงเวลาที่ตกนรก ตอนนี้ตกนรกกันทั้งบ้านทั้งเมืองแล้ว

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
25 กรกฎาคม 2564

ลองดูเวทนา เห็นความเจ็บแต่ยังไม่สามารถแยกกายกับความเจ็บปวดออกจากกันชัดเจน เข้าใจว่าสมาธิไม่พอ

หลวงพ่อบอกให้ฝึกมีสติเป็นอัตโนมัติเมื่อ 3 ปีที่แล้ว โยมคิดว่าโยมทำได้ดีขึ้น ทุกวันพยายามรักษาศีล 5 และทำในรูปแบบทั้งนั่งทั้งเดิน เห็นมานะอัตตาของตัวเองได้บ่อยและชัดขึ้น ได้เห็นโทสะก่อตัวพองขึ้นและแฟบหายไป บางครั้งเวลาอยากกลืนน้ำลายจะไปดูใจที่มันอยากก่อน เห็นว่ามันดิ้นแล้วค่อยกลืน ล่าสุดลองดูเวทนาจากอาการเจ็บข้อมือ เห็นความเจ็บทั้งฉาบและแทรกอยู่ในข้อมือแต่ยังไม่สามารถแยกกายกับความเจ็บปวดออกจากกันชัดเจน มันยังรวมกันอยู่ แต่ดูได้ไม่นานก็เลิกเพราะเจ็บมาก ใจมันไม่เอา เข้าใจว่าสมาธิยังไม่พอ ขอหลวงพ่อเมตตาชี้แนะการปฏิบัติเพื่อความเจริญในธรรมต่อไปด้วยค่ะ

 

หลวงพ่อ:

การดูกายเวทนาจะทำได้ดีถ้าสมาธิเรามากพอ กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา พระพุทธเจ้าถึงบอกว่ามันเหมาะกับสมถยานิก เหมาะกับคนเล่นฌาน แต่เราดูไปก็ได้ ทนๆ เอา ดูอย่างที่ดูนั่นล่ะ ตอนนี้ยังทนไม่ได้ ต่อไปการที่เราฝึกของเราเรื่อย ดูของเราเรื่อยๆ สมาธิมันก็เพิ่ม เรียกว่าใช้ปัญญานำสมาธิไป สมาธิมันเพิ่ม ต่อไปมันก็ทนได้ การดูเวทนาจำได้ไหมหลวงพ่อชอบสอนเราว่าเวทนาทางกายดูยาก สมาธิไม่พอ สติแตกเอาง่ายๆ เลย ดูเวทนาทางใจไปก่อน ใจเราเดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวเฉยๆ ดูตรงนี้ให้ชำนิชำนาญ

พอเราดูชำนิชำนาญ สติเราก็แข็งแรงขึ้น สมาธิเราก็แข็งแรงขึ้นอะไรอย่างนี้ ปัญญามันก็แข็งแรงขึ้น ต่อไปจะไปดูกาย ดูเวทนา มันก็พอดูได้หรอก เพราะสมาธิมันดีขึ้นแล้ว ทำในจุดที่เรายังทำได้ ตรงไหนที่เกินกำลัง ยังไม่ต้องไปสู้ตรงนั้น มันเหมือนเราจะชกมวย เราจะไปชกกับพวกกระจอกๆ ก่อน ขืนเราไปชกกับแชมป์โลกก่อน เราก็ฝ่อตายเลย ไม่มีทางสู้ ค่อยๆ หัดชกจากของที่ทำได้ ดูของที่ทำได้ อย่างเวทนาทางใจดูง่าย ดูไปๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ แล้วต่อไปมันก็เห็นกายกับใจมันก็คนละอันกัน แล้วต่อไปมันก็เห็นกาย เวทนากับใจมันก็คนละอันกัน ตรงที่เราเห็นกายมันเจ็บมากๆ แล้วเราทนไม่ไหวนี่ ไปดูให้ดี ไม่ใช่เราทนไม่ไหว มันเกิดสังขาร เกิดความปรุงแต่งของจิต ความดิ้นรนทุรนทุราย ความวิตกกังวล ความเดือดร้อนรำคาญอะไรของจิตขึ้นมา เราไม่ได้เห็นตรงนี้ ถ้าเราเห็นตรงนี้ ตัวนี้ดับ เราก็จะดูกายกับเวทนาได้สบายๆ จะเห็นจิตที่ทุรนทุราย จิตไม่ได้เคยทุรนทุราย แต่ความทุรนทุรายมันแทรกเข้ามาในจิต มันเป็นอีกขันธ์หนึ่ง คือสังขารขันธ์

ฉะนั้นถ้าเราแยกได้ 5 ขันธ์แยกได้แล้ว การภาวนาก็ง่ายแล้ว ดูกายแล้วก็เห็นแยกจากเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ดูเวทนาก็เห็นแยกออกจากกาย สัญญา สังขาร วิญญาณอะไรอย่างนี้ ดูจิตดูใจก็เห็นแยกออกจากรูป เวทนา สัญญา สังขารอะไรอย่างนี้ มันค่อยๆ ฝึกจนมันชำนิชำนาญ มันก็แยกได้หมด ที่ฝึกอยู่ใช้ได้ แต่ถ้าโทสะแทรกก็ให้รู้เอา มีโทสะไม่พอใจ มันแทรกขึ้นมา เราก็รู้ กิเลสอะไรแทรกขึ้นมา เราก็รู้เอา ดีที่ฝึกอยู่

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
25 กรกฎาคม 2564

ปัญญานำสมาธิ

จะทำกรรมฐานอะไรก็ได้ที่เราถนัด เคยทำอะไรแล้วมีความสุขก็ทำอันนั้น แล้วแทนที่มุ่งไปที่ความสุขความสงบ คอยรู้ทันจิตตัวเองไป เราจะเดินปัญญา อย่างนี้เรียกปัญญานำสมาธิ ใช้สมาธิชนิดขณิกสมาธิ สมาธิทีละขณะๆ อย่างนี้ อย่างเรารู้ทันว่าจิตไหลไปปุ๊บ ตรงนี้สมาธิก็เกิดขึ้นชั่วขณะ เดี๋ยวก็ไหลไปอีกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หมุนไปทุกหนทุกแห่งใน 6 ช่องทาง ตรงที่เรามีสติรู้มันจะมีจิตผู้รู้แทรกขึ้นมากั้นกลาง

จิตตั้งมั่น

พอจิตมันตั้งมั่นขึ้นมาแล้ว มันจะเห็นทุกข์ได้ ถ้าจิตไปว่างอยู่ข้างนอก ไม่มีวันเห็นทุกข์หรอก มันมีแต่สุข มันมีแต่สบาย มีแต่ว่าง ถ้าจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวจริงๆ ระลึกลงในกายก็เห็นทุกข์ในกาย ระลึกลงที่จิตก็เห็นทุกข์ที่จิต ตรงนี้จิตมันเดินปัญญาได้ แล้วขันธ์มันแยก มันแยกตั้งแต่จิตเราตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูแล้ว

มีปัญหาชีวิตที่ส่งผลกับสุขภาพ การปฏิบัติช่วงนี้มีโทสะกิเลสครอบงำจิตบ่อยครั้งมาก

คำถาม:

โยมทำอานาปานสติเป็นหลัก ยึดศีล 5 ในการดำรงชีวิตประจำวัน ทำตามรูปแบบเกือบทุกวัน เน้นดูจิตเป็นหลักสลับกับดูกายในระหว่างวัน 2 เดือนที่ผ่านมา มีความย่อหย่อน เหตุจากตะลุมบอนกับปัญหาชีวิตที่ส่งผลสุขภาพ ภาพรวมการปฏิบัติช่วงนี้ มีโทสะกิเลสครอบงำจิตบ่อยครั้งมาก ขาดสติ เห็นหลงคิดบ่อย และควบคุมไม่ได้ มีสติน้อยลง ขอคำแนะนำจากหลวงพ่อเพื่อให้มีสติได้ทันท่วงที และมีสมาธิที่ถูกต้องด้วยค่ะ

 

หลวงพ่อ:

ที่หลวงพ่อพูดวันนี้ก็คือเรื่องพวกนี้ล่ะ พวกเราตอนนี้มันเต็มไปด้วยโทสะ เป็นทุกคนเลย เกือบทุกคนเลย ฉะนั้นเราบริโภคข่าวเท่าที่จำเป็น แต่ถ้าจำเป็นเพื่อจะต้องทำมาหากินอะไรก็จำเป็นต้องบริโภค แต่ถ้าไม่เกี่ยวข้องกับการทำมาหากินอะไร บริโภคข่าวให้น้อยๆ เอาข่าวที่เป็นทางการจริงๆ เป็นวิชาการจริงๆ จากคนที่เกี่ยวข้องจริงๆ บริโภคข่าวมากไปจิตใจวุ่นวาย โทสะขึ้นแน่นอน อันนี้ไม่มีทางแก้หรอก ฉะนั้นพยายามรักษาตัว นี่เป็นช่วงความยากลำบากของทุกคน ไม่เฉพาะเรา ตอนนี้ใครๆ ก็ยากลำบากด้วยกัน ฉะนั้นเราอย่างน้อย เราไม่ไปเพิ่มความวุ่นวายให้คนอื่น ด้วยการออกความเห็นอย่างโน้นอย่างนี้

แล้วเราก็พยายามฝึกจิตใจตัวเองไว้ เจริญเมตตาให้มากไว้นะช่วงนี้ เป็นกรรมฐานที่เหมาะกับสถานการณ์ คือการเจริญเมตตา นึกในใจไปเรื่อย “สัตว์ทั้งหลาย จงเป็นสุขๆ เถิด” นึกไปเรื่อยๆ บริกรรมไป พอใจเราสงบ ใจเราร่มเย็น ใจเราไม่ถูกเร้าด้วยข้อมูลไม่ดี ใจมันก็จะสงบลงมา เราก็จะสามารถดูกายดูใจได้ คราวนี้ถ้าเราฝึกของเราดีแล้ว เราจะอยู่ได้ในทุกๆ สถานการณ์ สมมติว่าคนในบ้านเราติดโควิดหมดเลย หรือเราติดโควิดเอง นอนอยู่โรงพยาบาลสนาม หรือนอนอยู่ที่ไหนก็ตาม เราก็เจริญสติของเราได้ ร่างกายอาจจะทุกข์ แต่ใจมันจะไม่ทุกข์ เราสามารถทำได้ อยู่ที่เราฝึกเอา ฉะนั้นช่วงนี้เจริญเมตตาให้เยอะๆ ไว้ ถ้าใจเราไม่มีสมาธิพอ มันภาวนาไม่ได้จริง ช่วงนี้ต้องอดทน

มองอีกแง่หนึ่งก็น่าจะภูมิใจ สถานการณ์อย่างที่เราเจอตอนนี้ 100 ปีมีครั้งหนึ่ง เราได้เจอแล้วเท่ชะมัดเลย เมื่อปี พ.ศ.2462 มีไข้หวัดสเปนระบาด คนก็ตายทั่วโลกเลยเยอะแยะหลายสิบล้าน ตายกันเยอะแยะ ในเมืองไทยมีพลเมืองไม่มาก มีไม่ถึง 7 ล้านคน ตายไป 8 หมื่นคน ติดโรคไป 2.8 ล้านคน ตายไป 8 หมื่นคน ฉะนั้นสถานการณ์อย่างนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นระยะๆ ของโลก มันมีอยู่เรื่อยๆ เราได้พบได้เห็น เรามีสติมีปัญญาตั้งมั่นอยู่ มันเห็นโลกนี้ทุกข์ โลกนี้ไม่เห็นดีตรงไหนเลย

ถ้าภาวนา อย่างหลวงพ่อมองไป ในชีวิตเราที่ผ่านมาตรงไหนที่เรียกว่าสุข หาไม่ได้ ตรงไหนที่เรียกว่ามีความสุข เรารู้สึกไหมชีวิตเรามีปัญหาอยู่ทุกวัน เปลี่ยนเรื่องไปเรื่อยๆ เดี๋ยวเรื่องโน้น เดี๋ยวเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องของเราก็เรื่องของญาติพี่น้อง ครอบครัวเราอะไรอย่างนี้ ไม่เรื่องสุขภาพ ก็เรื่องหน้าที่การงาน เรื่องการทำมาหากิน หรือเรื่องความวุ่นวาย บางยุคก็อันธพาลเต็มบ้านเต็มเมืองเลย บางยุคก็เฟคนิวส์เต็มบ้านเต็มเมืองอะไรอย่างนี้ อย่างตอนนี้เต็มไปหมด

ฉะนั้นจริงๆ โลกนี้ไม่เคยสงบสุขเลย ถ้าเราตั้งหลักได้ เราจะเห็นโลกนี้ไม่น่ารักหรอก โลกนี้ไม่น่าปรารถนา ไม่มีหรอกโลกที่สงบสันติ สงบสันติหรือเปล่าอยู่ที่ใจเรา ใจคนอื่นเขาไม่ได้ฝึก เขาก็เร่าร้อน เขาก็วุ่นวาย เขาก็ก่อปัญหา เราจะให้ทุกคนไม่ก่อปัญหา เป็นความไร้เดียงสาอย่างยิ่งเลย มันเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นเราก็ต้องอยู่กับโลกไปอย่างนี้ เราก็จะเห็นความจริงว่าโลกนี้มีแต่ความทุกข์ โลกนี้มีแต่ความวุ่นวาย โลกมีแต่ความไม่สงบ เราเห็นอย่างนี้เราก็อยู่กับมันไป มันวุ่นวายเราไม่วุ่นวาย มันทุกข์เราไม่ทุกข์ ฝึกไปเรื่อยๆ มันชั่วร้ายเต็มบ้านเต็มเมือง ห้ามมันไม่ได้หรอก

พยายามฝึกตัวเองเข้า เราจะอยู่กับโลกอย่างรู้เท่าทันมัน ไม่ทุกข์ไปกับมัน ฝึกเสีย ตั้งใจ เป็นเวลาที่ดีในเวลานี้ เวลาที่ทุกข์เป็นเวลาที่ดีสำหรับการปฏิบัติ เวลาที่มีแต่ความสุขมันเป็นเวลาที่เผลอเพลินง่าย เป็นเวลาที่ทำให้เราประมาท อย่างขณะนี้เราจะต้องเจริญสติมากเลย จะหยิบจะจับอะไรต้องมีสติตลอด จะมาจับหน้าตัวเองก็ต้องมีสติ ทำอะไรก็ต้องมีสติ โควิดนี้มีคุณประโยชน์มาก ทำให้เราต้องฝึกสติอย่างเข้มงวด ลองมองมันในแง่น่ารักบ้าง มันไม่ได้เลวตลอดหรอก.

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
24 กรกฎาคม 2564
Page 46 of 63
1 36 37 38 39 40 41 42 43 44 45 46 47 48 49 50 51 52 53 54 55 56 63