ความสุขมีหลายระดับ

มีสติรู้กายรู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่น และเป็นกลาง” คำว่าตามความเป็นจริงคือเห็นไตรลักษณ์ เพราะความจริงของรูปนามคือไตรลักษณ์ ถ้าไม่เห็นไตรลักษณ์ก็เรียกว่ายังไม่ได้ทำวิปัสสนา ฉะนั้นประโยคสั้นๆ นี้ล่ะที่หลวงพ่อรวมมาจาก หลักการปฏิบัติที่กว้างขวางมากมาย ถ้าพวกเราตีความตรงนี้แตก พวกเราทำวิปัสสนาได้แน่นอน

ไม่สนใจตัวเองคือไม่ได้ปฏิบัติ

คนที่ไม่ปฏิบัติพอมันเกิดสุข เกิดทุกข์ เกิดดี เกิดชั่ว มันไปสนใจของข้างนอก สนใจรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ สนใจเรื่องราวที่คิดนึกเอา มันไม่สนใจตัวเอง ไม่สนใจที่จะอ่านตัวเอง อ่านว่าจิตใจตอนนี้เป็นอย่างไร พอไม่สนใจก็คือไม่ได้ปฏิบัติแล้ว ไม่ได้เรียนรู้กาย ไม่ได้เรียนรู้ใจ

อยากมีความสุขต้องรู้จักพอ

วิธีที่จะฝึกให้พอก็คือคอยรู้เท่าทันใจของตัวเอง ตรงที่ไม่พอเพราะความอยากมันมาก ความอยากมันครอบงำเรา ฉะนั้นเราหัดรู้เท่าทันใจของเราไว้ ใจมันมีความอยากอะไรเกิดขึ้น รู้ทันมัน ถ้าเรารู้ทันตัณหาคือความอยากที่เกิดขึ้นในจิตใจเรา พอเรารู้ทัน ตัณหามันเป็นโลภะ มันเป็นกิเลส ตรงที่เรารู้ทันคือเรามีสติ ตัณหามันจะดับ พอความอยากมันดับแล้วจิตมันจะมีสติมีปัญญาขึ้นมา จิตมันเป็นกุศลแล้ว มันก็จะรู้อะไรควรอะไรไม่ควร

ใจดิ้นรนเพราะยึดถือ

ยึดทีไรก็ทุกข์ทุกที จะให้เลิกยึด ให้หายยึด ไม่ใช่ไปสั่งจิตให้เลิก ไม่มีใครสั่งจิตให้เลิกยึดได้หรอก ต้องจิตได้รับการอบรมให้มีปัญญา รู้แจ้งแทงตลอดว่าขันธ์ 5 มันเป็นทุกข์ รูปนามทั้งหลายเป็นทุกข์ เห็นอย่างนี้แล้วมันเลิกยึดไปเอง มันจะยึดทำไมมันมีแต่ตัวทุกข์ ทุกวันนี้ที่ยึดอยู่เพราะไม่เห็นว่ามันเป็นทุกข์ การเห็นทุกข์นี่ล่ะทำให้เราเข้าใจธรรมะ

ยิ่งเห็นทุกข์ยิ่งมีความสุข

ฝึกไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ถึงจุดที่มันเข้าใจมันก็วาง แล้วจะทุกข์น้อยลงๆ ตรงที่มันทุกข์น้อยลงนั่นล่ะที่เรารู้สึกว่ามันมีความสุขมากขึ้นๆ มันเป็นความรู้สึกที่สัมพัทธ์ ที่จริงก็คือมันทุกข์น้อยลงเรื่อยๆ มันทุกข์สั้นลง ทุกข์น้อยลง มันก็เลยรู้สึกมีความสุขมากขึ้นๆ ตรงจุดที่มันไม่ทุกข์ ตรงที่ภาวนาถึงพระนิพพาน มันไม่ทุกข์แล้ว เพราะมันไม่มีตัณหาอีกต่อไปแล้ว มันก็ถึงเป็นบรมสุข

เห็นจิตเป็นทุกข์จึงปล่อยวางจิต

มีโยมมาถามหลวงพ่อว่า ภาวนาต้องปล่อยวางจิตใช่ไหม? ใช่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เบื้องต้นเรายังไม่ต้องพูดเรื่องปล่อยวางจิตหรอก ล้างความเห็นผิดก่อน เบื้องต้นยังไม่ต้องไปทำลายจิต ต้องมีจิตก่อน มีจิตที่เป็นผู้รู้ผู้ดูก่อน การทำลายผู้รู้ ทำลายจิต มันขั้นสุดท้ายของการปฏิบัติ

ฝึกจิตที่ผ่องใสให้ผ่องแผ้ว

รักษาศีล ฝึกสมาธิ ฝึกจิตให้ประภัสสรผ่องใสเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่หลงตามกิเลสไป แล้วก็มาฝึกจิตให้ผ่องแผ้วด้วยการเจริญปัญญา จิตผ่องแผ้วได้ด้วยการเจริญปัญญา จิตจะเจริญปัญญาได้ จิตต้องประภัสสรต้องเป็นผู้รู้ก่อน มันถึงจะเจริญปัญญาได้

คนในโลกเต็มไปด้วยความเห็นผิด

คนในโลกนี้เต็มไปด้วยความเห็นผิด เห็นของไม่ใช่ตัวเราว่าเป็นตัวเรา แล้วก็อยากได้ของซึ่งมันไม่เที่ยงให้มันเที่ยง อยากให้ของที่มันเป็นทุกข์หมดไปสิ้นไป ให้มีแต่ความสุข ปฏิเสธความจริงคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ยังปฏิเสธอยู่เพราะว่ายังไม่เข้าใจธรรมะ เพราะฉะนั้นต้องเรียน พาจิตมาเรียนรู้ความจริงของรูปธรรมของนามธรรมทั้งหลายทั้งปวง ดูแล้วดูอีก

จิตเป็นธรรมชาติที่บังคับไม่ได้แต่ฝึกได้

ไม่มีใครสั่งจิตให้เกิดปัญญาได้ ไม่มีใครสั่งจิตให้มีสติได้ ไม่มีใครสั่งจิตให้ดีได้ ไม่มีใครสั่งจิตให้บรรลุมรรคผลได้ เพราะจิตทั้งหมดนั้นเป็นอนัตตา บังคับไม่ได้ จิตเป็นธรรมชาติที่บังคับไม่ได้แต่ฝึกได้ ฝึกมันด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา การเจริญปัญญาก็คือ มีจิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู มีสติระลึกรู้กาย ระลึกรู้ใจที่กำลังปรากฏอยู่ แล้วก็หมายรู้ความเป็นไตรลักษณ์ของสิ่งที่กำลังปรากฏนั้น ทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวปัญญามันจะเกิดเอง

Page 35 of 45
1 25 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 41 42 43 44 45