บ้านที่แท้จริง

ในโลกไม่มีบ้านที่แท้จริง ถ้าเราภาวนาเราจะเห็น บ้านที่แท้จริงของเราคือพระนิพพาน ถ้านอกนั้นยังเป็นที่ที่ไม่แน่นอน ไม่ยั่งยืน ต้องหมุนเวียนอยู่ ใจที่มันไม่หลงโลกมันเตือนตัวเอง บ้านนี้ก็ชั่วคราว คนที่เราอยู่ด้วยรอบๆ ตัวเราก็อยู่กันชั่วคราว จะรักหรือจะเกลียดก็อยู่ชั่วคราว อะไรๆ ในโลกเห็นมันเป็นของชั่วคราวทั้งหมดเลย ทั้งวัตถุสิ่งของทั้งผู้คน สุดท้ายกระทั่งร่างกาย สติปัญญามันสอดส่องลงมาในร่างกาย ร่างกายเป็นบ้านของจิต บ้านหลังนี้ก็เป็นบ้านชั่วคราว

ทางสายกลาง

พอคิดถึงการปฏิบัติก็บังคับกายบังคับใจ ก็ผิดอยู่ 2 ด้าน หย่อนไปกับตึงไป มันเลยไม่เข้าทางสายกลางเสียที ทางสายกลางคือมรรคมีองค์ 8 ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป มรรคมีองค์ 8 ย่อลงมาก็เป็นศีล สมาธิ ปัญญา ถือศีลหย่อนเกินไปก็ใช้ไม่ได้ ถือศีลแล้วก็ตึงเกินไปก็ใช้ไม่ได้ สมาธิหย่อนไปก็ไม่ได้ ตึงไปก็ไม่ได้ เจริญปัญญาหย่อนไปก็ไม่ได้ ตึงไปก็ไม่ได้ ต้องทางสายกลางจริงๆ

ความจริงทางโลกกับความจริงทางธรรม

โลกก็สอนธรรมะเราสอนให้เราเห็น โลกนี้ไม่สมบูรณ์หรอกมีทุกข์ตลอดเวลา เราต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจ ต้องประสบกับสิ่งที่ไม่รักที่ไม่พอใจ ร่างกายเราเองก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย จิตใจเราเองเที่ยวหาความสุขมา ความสุขก็ไม่ยั่งยืน เกลียดความทุกข์ไล่มันก็ไม่ได้ ถ้าเราเข้าใจความจริงในโลกุตตระ เรามีความสุขที่ไม่อิงอาศัยคนอื่น ไม่อิงอาศัยสิ่งอื่น ความสุขตัวนี้ยั่งยืน ในขณะที่ความสุขในโลกนั้นไม่ยั่งยืน ฉะนั้นเราทิ้งของซึ่งไม่สำคัญ แค่อาศัยอยู่ พออยู่พอกิน พอเลี้ยงชีวิต ไม่มีภาระกับสังคมกับอะไรอย่างนี้ แค่นี้พอใจอยู่ได้แล้ว

โลกิยธรรมและโลกุตตรธรรม

ชาวพุทธก็ทำหน้าที่ของตัวเอง หน้าที่ต่อครอบครัว หน้าที่ต่อชุมชน พัฒนาตัวเองไป ฉะนั้นการที่เราอยู่บ้าน ทำมาหากินอยู่ด้วยความสุจริต เราได้ปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว อันนี้เป็นโลกิยธรรม ส่วนถ้าเราอยากพ้นจากโลก เราก็มาฝึกให้หนักขึ้น เข้มงวดในการรักษาศีล เข้มงวดในการฝึกสมาธิ ขยันขันแข็งในการเจริญปัญญา ถ้าเราทำได้ก็เดินไปสู่โลกุตตระ ศีล สมาธิ ปัญญานั่นล่ะ เป็นมรรค มรรคก็คือหนทางไปสู่ความดับสนิทแห่งทุกข์

กรรมฐานที่เหมาะกับตัวเอง

กรรมฐานอะไรที่เหมาะกับเรา ควรจะดูกายหรือดูจิตเป็นหลักไว้ ถ้าเราเป็นพวกตัณหาจริต พวกรักสุข รักสบาย รักสวยรักงามอะไรอย่างนี้ ไปดูกายไว้ ถ้าพวกเจ้าความคิด เจ้าความเห็น พวกทิฏฐิจริตไปดูจิตไว้เป็นหลักเลย ทุกคนเป็นจริตผสม มีทั้งตัณหาจริตและทิฏฐิจริต ที่จะแบ่งแยกเพียวๆ เลยไม่เคยเจอ เพราะทุกคนมีทั้งตัณหาและทิฏฐิ ดูเอาตัวไหนเด่น บางคนเจ้าความคิดเจ้าความเห็นมาก พวกนี้ทิฏฐิเด่น บางคนติดสุขติดสบายแล้วก็เจ้าความคิดเจ้าความเห็นด้วย แต่ระหว่างเอาความสุขความสบายกับเอาความรอบรู้อะไร สนใจความสุขความสบายมากกว่า พวกนี้ไปดูกายเลย

ใช้ร่างกายให้เกิดประโยชน์

เอาร่างกายมาทำงาน ให้มันเกิดสิ่งที่งอกเงยขึ้นมา มีบุญ มีกุศล มีสติ มีปัญญาให้มันมากขึ้นๆ ใช้ประโยชน์จากร่างกายให้มันสมกับสิ่งที่เราได้มา ก่อนที่มันจะแตกสลายไป พยายามตั้งใจทุกวันๆ ทุกวันเราจะต้องสร้างความดีให้ได้อย่างน้อยก็อย่างหนึ่ง มีร่างกายทั้งที แทนที่เอาไปทำเหลวไหล เอามาฝึกกรรมฐานเสีย เอามาหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ ทำไปเรื่อยๆ ใช้ร่างกายให้เป็นประโยชน์ นี้เป็นประโยชน์ของตัวเองในปัจจุบัน แล้วพอเราเข้าใจธรรมะขึ้นมาแล้ว มันก็เป็นประโยชน์สำหรับผู้อื่นในอนาคต

อยู่ให้เป็น ตายให้เป็น

อยู่แบบเข้าใจโลก เข้าใจชีวิต ว่าไม่มีอะไรที่เราได้ทุกสิ่งทุกอย่างหรอก โลกนี้ไม่เป็นไปตามใจปรารถนา อย่างเราอยากให้โควิดหมดไป ยังไม่ถึงเวลามันก็ไม่หมด ก็อยู่ไปอย่างระมัดระวัง มีสติรักษาจิตใจไม่บ้าเสียก่อน รักษาร่างกายให้ดีที่สุด เรียกอยู่เป็น พอเวลาจะตายก็ตายเป็น มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา ดูไปเรื่อยๆ เห็นสติรู้ร่างกายมันทรมาน จิตมันตั้งมั่นเป็นคนรู้ ดูลงไปร่างกายที่เจ็บปวดนั้นไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา มันเป็นสมบัติของโลกที่เรากำลังจะคืนให้โลกแล้ว จิตใจก็ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา เราสั่งอะไรมันไม่ได้สักอย่างเลย แต่ทำได้แค่รู้ทันมันไป มันยินดีในภาวะอย่างนี้ มันยินร้ายในภาวะอย่างนี้ ก็รู้มันไป ในที่สุดก็รู้ทุกอย่างด้วยความเป็นกลาง ถ้าตายไปก็ไปสุคติ

สติปัฏฐานเป็นทางสายเอก

สติปัฏฐานคือมีสติอยู่ในฐานกาย เวทนา จิต ธรรม ฐานใดฐานหนึ่ง ถ้าเมื่อไรไม่มีสติรู้กาย ไม่มีสติรู้ใจ เมื่อนั้นไม่ได้ทำสติปัฏฐาน พระพุทธเจ้าบอกสติปัฏฐานเป็นเอกายนมรรค เป็นทางสายเอก เป็นทางสายเดียวเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้น จิตจะเข้าถึงความสิ้นตัณหาได้ต้องทำสติปัฏฐาน ไม่มีทางเลือกทางที่สอง

ท่องเที่ยวอยู่ในกายในใจ

อาศัยช่วงของโควิดเราออกไปเที่ยวไม่ได้ ถ้าเราชำนาญในการพิจารณาร่างกาย เราก็เที่ยวอยู่ในร่างกาย ไม่ให้จิตหนีออกจากกาย ถ้าจิตเที่ยวอยู่ในร่างกายนี้ คอยรู้สึกอยู่ในกายนี้ กิเลสชั่วหยาบทั้งหลายเกิดไม่ได้ มันมีสติเที่ยวอยู่ในกาย แล้วถ้าปัญญามันเกิดมันจะเห็นว่ากายนี้ว่างเปล่า กายนี้ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา ดูจิตดูใจ เห็นจิตเที่ยวไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เห็นจิตสร้างภพน้อยภพใหญ่ทางใจ เห็นแต่ทุกข์ ภาวนาแล้วก็จะรู้แจ้งแทงตลอด ความเกิดมีขึ้นครั้งใด ความทุกข์มีขึ้นเมื่อนั้น เกิดดี เกิดเลว หมุนเวียนอยู่ในจิตเรานี่ล่ะ เห็นอย่างนี้ต่อไปจิตมันก็รู้ว่า ภพทั้งหลายเอาเป็นที่พึ่งที่อาศัยไม่ได้

ปัจจัย 4 ของจิต

ศีลเป็นเสื้อผ้าของจิต ถ้าศีลเราดีคล้ายๆ เราแต่งตัวเรียบร้อย ไปเข้าสังคมที่ไหนก็องอาจกล้าหาญ จิตก็ต้องมีบ้านเหมือนกัน เวลาอยู่บ้านเรารู้สึกปลอดภัย จิตที่มีสมาธิมีวิหารธรรม มันจะรู้สึกปลอดภัย ไม่กลัวอะไร ร่างกายยังต้องการยารักษาโรคด้วย จิตก็ต้องการ โรคของจิตก็คือกิเลส สิ่งที่จะล้างกิเลสได้คือตัวปัญญา 

Page 30 of 45
1 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 45